ใครว่าเรื่องล้างแค้นต้องรอให้เย็นก่อน สำหรับ Beef นั้นถือคติอีกอย่าง คือการแก้แค้นต้องจัดไปแบบเถื่อนดิบ เอาให้ชิบหายกันไปข้าง โดยเรื่องเรื่องของคนแปลกหน้าเชื้อสายอเมริกันเอเชียนสองคนบังเอิญเจอกันในวันดวงซวย ของทั้งคู่ จากเรื่องเล็กน้อยบนท้องถนนนำมาสู่วังวนการแก้แค้นไปมาที่ไม่จบสิ้น อาจเรียกได้ว่าเป็นจังหวะที่ถูกต้องอย่างมากของเน็ตฟลิกซ์ ในการดึงค่ายหนังอินดี้อย่าง A24 ที่กำลังขึ้นหม้อจากผลงานการสร้างหนังอย่าง ‘Everything Everywhere All at Once’ (2022) จนกระหึ่มเวทีออสการ์ปีล่าสุดมาหมาด ๆ มาทำออริจินัลซีรีส์ของแพลตฟอร์มปล่อยในช่วงเวลานี้ แถมยังเป็นซีรีส์ที่มีกลิ่นรสบางอย่างใกล้เคียงกันด้วย
นอกจากสไตล์การนำเสนอแบบหนังอิสระที่ถูกจริตคนดูซีรีส์ยุคใหม่ ทั้งการตัดต่อภาพและเสียง หรือการขึ้นกราฟิกอักษรที่ใช้น้อยแต่ได้มาก การวางจุดเซอร์ไพรส์ที่ชวนเหวออย่างแม่นยำ จากเรื่องราวคนทะเลาะกันบนท้องถนนที่จะเล่าไปทางดราม่าธริลเลอร์อย่างหนัง ‘Changing Lanes’ (2002) ก็ได้ แต่ครีเอเตอร์อย่าง อีซุงจิน (Lee Sung Jin) บิดแนวให้ไปเป็นซีรีส์ตลกร้ายที่เล่นกับโชคชะตาของตัวละครที่มีไดนามิกซับซ้อนทั้งความคิด การตอบสนองต่อสถานการณ์ชวนตลกร้าย และบรรดาตัวละครที่เข้ามาป่วนเรื่องราวให้หนักข้อและเตลิดเปิดเปิงไปกว่าเดิม ทั้งน้องชายไม่เอาอ่าวที่อยากเป็นชู้เมียชาวบ้าน ลูกพี่ลูกน้องอันธพาลที่มีแก๊งบ๊อง ๆ ทำแต่เรื่อง หรือสามีลูกแหง่ที่อยู่ใต้เงาผู้หญิงทั้งเมียทั้งแม่ตลอดเวลา เป็นต้น จนเราอยากดูอยากรู้ฉากต่อไปแบบหยุดไม่ได้
การแก้แค้นเองก็ทวีความโหดสะใจคนดูซีรีส์ออนไลน์มากขึ้น ๆ และบางทีก็อดขำหรืออดเศร้าไปกับตัวละครไม่ได้เพราะหลายครั้งมันก็เป็นเพียงเหตุโอละพ่อหรือเรื่องเข้าใจผิดที่ทำให้เรื่องอุรุงตุงนังเข้าไปอีก และพอรู้ตัวอีกทีมันก็กลายเป็นซีรีส์ดราม่าก้าวพ้นวัยของคนวัย 30-40 ปีที่ต้องทุกข์ทนกับยุคสมัยปัจจุบันได้อย่างน่าชื่นชม ซีรีส์ขับเคลื่อนด้วยตัวละครที่มีมิติน่าสนใจ มีความซับซ้อนในความคิดเช่นมนุษย์จริง ๆ คนที่ดีก็อาจมีวันแย่ ๆ และอยากหาที่ระบายด้วยการทำร้ายใครสักคนด้วยวาจาหรือการกระทำเช่นการชูนิ้วกลางใส่ ซึ่งเราก็คงพบเห็นได้ในชีวิตประจำวัน แต่แทนที่เรื่องราวจะจบสวย ๆ ด้วยการแค่พลาดแล้วขอโทษมันก็ขยายกลายเป็นการจองเวรจองกรรมและเล่นแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นข้อคิดให้คนดูซีรีส์
แต่ซีรีส์ก็มีความเจ๋งมากกว่าแค่ข้อคิดทื่อ ๆ ที่รู้มาตั้งแต่ดูตัวอย่างหนัง เพราะเมื่อเรื่องดำเนินไปเราจึงได้เห็นว่ามันแฝงไปด้วยเรื่องชวนคิดอีกมาก ทั้งความสัมพันธ์ในครอบครัว ความซื่อสัตย์ของคู่ชีวิต ความแตกต่างของพื้นเพคนที่หลากหลายภายใต้สังคมเดียวกัน และอะไรอีกหลายอย่างเหมือนเราได้ดูซีรีส์ทั้งหมดของชีวิตมนุษย์คนหนึ่งที่เป็นตำราบทเรียนเล่มใหญ่ภายในเวลา 10 ตอนเลยทีเดียว ซีรีส์เรื่องนี้ยังใช้ความเป็นเอเชียขับเคลื่อนปมของตัวละครไม่ต่างกันกับหนังดังของ A24 เรื่องล่าสุด ตัวเอกอย่าง เอมี่ เติบโตมาจากครอบครัวผู้อพยพชาวเวียดนามรับบทโดย อาลี หว่อง (Ali Wong) ศิลปินตลกชื่อดัง ที่หากใครเคยดูโชว์ของเธอมาบ้างจะพบว่าหว่องเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม เพราะเธอเป็นทั้งคุณแม่และภรรยาแนวสู้ชีวิต ผ่านการเติบโตใต้ความกดดันของวัฒนธรรมครอบครัวอพยพชาวเวียดนามและจีนในสังคมอเมริกันเหมือนกัน
และทักษะการแสดงของหว่องที่แม้จะมีผลงานอย่าง ‘Always Be My Maybe’ (2019) มาก่อนหน้าในเว็บดูซีรีส์ออนไลน์ แต่ต้องบอกว่าเธอได้โชว์ของทุกรสทั้งเซ็กซี่ เฉิ่ม ตลก ดราม่าแบบจริงเต็ม ๆ ก็งานนี้เอง ในขณะที่ตัวเอกอีกคนอย่าง แดนนี่ ที่รับบทโดย สตีเฟน ยอน (Steven Yeun) ก็นำเสนอการต่อสู้ของผู้อพยพชาวเกาหลีที่พยายามตั้งตัวผ่านความกดดันของการเป็นพี่ชายและลูกชายคนโต ที่ต้องเป็นที่พึ่งพาให้น้องชายและพ่อแม่