The Big 4 ที่ไม่เกี่ยวกับบริษัทบัญชี และวันพีซ

หนังกึ่งๆดราม่า ที่เล่าเรื่องเกี่ยวกับ เด็กถูกอุปการะ 4 คนที่ถูกเก็บเลี้ยงมาฝึกเพื่อเป็นนักฆ่าเหล่าคนชั่วโดยชายที่พวกเขาเรียกว่าพ่อ แต่แล้วเมื่อพ่อต้องการวางมือและถูกสั่งเก็บ อันตรายก็คืบคลานมาสู่พวกเขาโดยทีมนักฆ่าอีกกลุ่มที่เต็มไปด้วยอาวุธต่างๆ และความเหี้ยมโหด ถึงแม้เรื่องย่อจะดูเป็นหนังเครียดโหดเลือดสาดจนชวนนึกถึงภาพครั้งที่ผู้กำกับ (Timo Tjahjanto) เคยทำไว้ในหนัง The Night Comes for Us (2018) ที่ลงทางเน็ตฟลิกซ์เช่นกัน โดยยังไม่ต้องไม่นับถึงผลงานก่อนหน้าที่เป็นหนังบู๊สายโหดแทบทั้งสิ้นจนถึงขนาดเคยร่วมงานกับ กาเรธ อีแวนส์ (Gareth Evans) ผู้กำกับ ‘The Raid: Redemption’ (2011) และนักแสดงสายบู๊ระดับโลกชาวอินโดอย่าง อิโก อูไวส์ (Iko Uwais) มาแล้ว

แต่เอาเข้าจริงครั้งนี้ผู้กำกับได้ลองทำอะไรใหม่ ๆ อย่างน่าสนใจใน ‘The Big 4’ นั่นคือปรับมู้ดหนังบู๊ของเขาให้ดูหนังซีเรียสน้อยลง มีความอมยิ้มและเต็มไปด้วยตัวละครที่เอกลักษณ์จัดจ้านเกินจริง จนชวนนึกถึงครั้งที่ไทยมีหนังอย่าง ‘7 ประจัญบาน’ (2545) หรืออย่าง ‘มือปืน/โลก/พระ/จัน’ (2554) ที่ออกแฟนตาซีนิด ๆ รวมถึงหนังบู๊ไทยเรื่องอื่นที่ออกมาโลดแล่นแสดงความเป็นหนึ่งของเจ้าหนังบู๊อาเซียนนับจาก ‘องก์บาก’ (2546) ได้เปิดหน้าประวัติศาสตร์ไว้

หนังเล่าเรื่องราวของ โตปัน เจงโก้ อัลฟ่า และเปลอร์ ที่เปิดตัวด้วยปฏิบัติการกวาดล้างแก๊งค้าอวัยวะมนุษย์ได้อย่างน่าตื่นตาตื่นใจ เป็นฉากที่ให้เห็นคาแรกเตอร์ของแต่ละตัวละครได้อย่างชัดเจน โตปันเป็นหัวหน้าทีมที่เก่งและมีมุมกวนโอ๊ย เจงโก้เป็นพลซุ่มยิงที่เชื่อในพลังจักระ อัลฟ่าสาวหนึ่งเดียวในทีมเป็นพวกสวยขาโหด และเปลอร์น้องเล็กของทีมที่ดูอ่อนแอสุดและกวนสุดทำหน้าที่สายลับลอบเข้าไปสืบข้อมูล และชอบดูหนัง

ฉากเปิดนี้น่าสนใจมากเพราะผู้กำกับได้ทำให้เห็นถึงฝีมือในการผนวกการออกแบบการต่อสู้ที่ไม่ด้อยไปกว่าหนังฮอลลีวูด การกำกับภาพที่ไปด้วยกันกับการต่อสู้ และการเล่าเรื่องที่มีลูกล่อลูกชนสนุกสนานไม่น่าเบื่อ แถมโปรดักชันรวมถึงซีจีก็จัดหนักจัดโหดสะใจทั้งหัวกระเด็น เลือดสาด เกินเบอร์หนังบู๊ตลกไปมาก แต่ผู้ชมก็ยังรู้สึกผูกพันกับทีมนักฆ่านี้ได้อย่างรวดเร็วด้วยบุคลิกพวกเขาที่ขบขันเข้าถึงง่ายนั่นเอง

ดูหนังเล่าเข้าเส้นเรื่องหลักอย่างรวดเร็ว แต่ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องมันนั้นค่อนข้างจืดและเชยเอาพอสมควร เรียกได้ว่าแทบไม่มีอะไรใหม่น่าสนใจเลย คือพ่อที่รับเลี้ยงพวกทีมนักฆ่าถูกสั่งเก็บและพวกเขาก็สลายทีมไปกบดานซ่อนตัวนานกว่า 3 ปี จนกระทั่งลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อที่เป็นตำรวจอย่าง ดีนา ระแคะระคายการตายของพ่อแล้วออกตามหาพวกเด็ก 4 คนในภาพถ่ายเก่าว่าเชื่อมโยงอย่างไรกับความลับของพ่อ และโตปันคือคนแรกที่เธอพบพร้อมกับที่มีกลุ่มนักฆ่าออกตามล่าเธอ ทำให้ทั้งโตปันและดีนาต้องออกตามหาสมาชิกคนที่เหลือเพื่อสู้กลับ

คือเนื้อเรื่องเดาได้แทบหมดแต่ก็เพียงพอกับการเดินเรื่องให้ใส่ฉากแอ็กชันขนาดใหญ่หลายฉากลงไป ในขณะเดียวกันก็มีมุกตลกในรายละเอียดลงไปให้อมยิ้มได้เรื่อย ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่าถึงจุดหนึ่งผู้กำกับก็เริ่มคุมคุณภาพของหนังให้เฉียบขาดเท่าฉากเปิดตัวไม่ได้ หลายฉากฝั่งตัวร้ายโผล่มาไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยแบบอยู่ดี ๆ ก็โผล่มาจากหลังเก้าอี้ชายหาดที่ปกติคนก็คงไม่ซ่อนตัวอยู่ หรือตัวร้ายมาตายแบบโง่ ๆ หรือยืนดูรถพระเอกวิ่งเข้ามาถึงหน้าบ้านถึงค่อยยิงทั้งที่เห็นมาแต่ไกลเป็นร้อยเมตร เป็นต้น

นอกจากนี้ที่เคยดูหนังออนไลน์แล้วตื่นตากับการออกแบบการต่อสู้และมุมกล้องก็เริ่มจืดลง เฉยชามากขึ้น เหมือนคนทำก็หมดไอเดียแล้วเหมือนกันเอาแค่สถานการณ์ดันตัวละครไปให้ถึงฉากใหญ่สุดท้ายให้ได้ และว่ากันตามตรงฉากสุดท้ายก็ไม่ได้กระชากอารมณ์ร่วมผู้ชมให้พุ่งสูงขึ้นได้อย่างที่ควรเป็น มีที่ดีบ้างเช่นฉากสไนเปอร์สู้กับบาซูก้าที่ครบรสทั้งเซอร์ไพรส์ ตลก สะใจ และภาพโหด ๆ แต่โดยรวมนี่ก็เป็นหนังที่ระดมฉากบู๊มาได้สะใจมากเรื่องหนึ่ง แค่ยังคุมมาตรฐานการดึงอารมณ์ได้ไม่เท่ากันนักตลอดเรื่อง

Leave a Comment